1.ดอกหน้าวัว
ความหมาย-การเริ่มต้นและนำไปสู่ความงอกงามของชีวิตชั่วนินิรันดิ์
2.ดอกกุหลาบสีเหลือง
ความหมาย-การเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ
3.ดอกทานตะวัน
ความหมาย-ความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา
แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา
4.ดอกลีลาวดี
ความหมาย-ดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย
5.ดอกลินลี่
ความหมาย-แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน
และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดีๆ ที่ได้ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ"
6.ดอกแก้ว
ความหมาย-ความสงบ ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ใจดี มีความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เป็นผู้มีความเบิกบาน ซึ่งส่วนหนึ่งของความเชื่อเหล่านี้มาจากคำว่า "แก้ว" ที่หมายถึง ความใสสะอาด บริสุทธิ์ หรือ สิ่งของมีค่าที่สุด
7.ดอกไอวี่
ความหมาย-ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์และมั่นคงในรัก แต่ถ้าหนุ่มคนไหนต้องการขอสาวแต่งงานลองส่งดอก ไอวี่แทนใจก็ได้ เพราะอีกนัยหนึ่ง หมายถึงการแต่งงาน
8.ดอกกุหลาบสีดำ
ความหมาย-จะใช้ในความหมายแทน ความรักนิรันดร์
(ที่มา : http://www.showded.com,/
http://tengnung.212cafe.com/
http://www.google.co.th/images )
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ขุนพลสำคัญของโลก
1.นโปเลียน
ชื่อจริง:จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ท
ประวัติย่อ:ผู้นำฝรั่งเศส มีความสามารถทางด้านการทหาร เป็นคนเฉลียวฉลาดและทเยอทะยานมีร่างเล็กเตี้ย สูงประมาณ 155 ซ.ม.
ผลงานสำคัญ:หลังจากเกิดปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1789 เขาไนทัพเข้าสู่สงครามในยุโรป ใน
ค.ศ.1804จึงสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศส ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรป
ผลงานสำคัญ:หลังจากเกิดปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1789 เขาไนทัพเข้าสู่สงครามในยุโรป ใน
ค.ศ.1804จึงสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศส ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรป
ชื่อจริง :โมฮันกาส์ คานธี
ประวัติย่อ :นักการเมื่องชาวอินเดีย มีชีวิตในช่วง ค.ส. 1869-1948
บทบาทความสำคัญ :ผู้นำทางการเมื่องที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอินเดียจาอังกฤษ โดยสันติ หรือ แบบ อหิงสา
ชื่อจริง :อดอลฟ์ ฮิตเลอร์
ประวัติย่อ :นายกรัฐมนตรี เยอรมนี มีชีวิตในช่วง ค.ศ. 1889-1945
บทบาทความสำคัญ :ผู้นำเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ( ค.ศ.1939-1945) เป็นหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ หรือนาซี มีเป่าหมายจะขยายอาณาจักรเยอรมนีให้กวางขวาง
ชื่อจริง :ฟลอเรนช์ ไนติงเกล
ประวัติย่อ :ชาวอังกฤษ ค.ศ. 1820 1910
บทบาทความสำคัญ :ผู้บุกเบิกการพยาบาลสมัคใหม่ ได้อุทิศชีวิตเพื่อดูแลคนเจ็บและทหารในฐานะพยาบาล ในช่วงทีอังกฤษส่งทหารไปรบกับรัสเซีย ในสงครามโครเมีย เมื่อเดื่อนกันยายน ค.ศ.1845 จนได้รับฉายาว่าสตรีผู้ถือดครไฟ
ชื่อจริง :คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ประวัติย่อ :ชาวอิตาลี ค.ศ.1451-1506
ผลงานสำคัญ:นักเดินเรือ ผู้ค้นพบโลกใหม่ หรือทวีปอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1492
ผลงานสำคัญ:นักเดินเรือ ผู้ค้นพบโลกใหม่ หรือทวีปอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1492
ชื่อจริง :เหมาเจ๋อ ตง
ประวัคิย่อ :ผู้นำชาวจีน ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนเข้าสู้ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิส ในช่วง ค.ศ.189-1976
ผลงานสำคัญ :สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ชาวจีน โดยการเผยแพร์อุดมการร์คอมมิวนิสต์ปลุกเร้าให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้กับความยากจน และยึดบมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างลึกซึ้ง
7.สตาลิน
ชื่อจริง:โจเซฟ สตาลิน
ประวัติย่อ:เกิดในช่วง ค.ศ. 1879-1953 เป็นนักปฏวัติตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยมุ่งหวังจะโค่นล้มการปกครองของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย
บทบาทสำคัญ:ร่วมมือกับเลนิน ผู้นำคอมมิวนิสต์ ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศรัสเซียให้เนสังคมนิยม ในปี ค.ศ. 1917 และภายหลังการมรณกรรมของเลนิน ทำให้สตาลินก้าวขึ้นสู่อำนาจเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในตำแหน่งเลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
8.เลนิน
ชื่อจริง:นิโคไล เลนิน
ประวัติย่อ:มีชีวิตในช่วง ค.ศ. 1870-1924 เป็นหัวหน้าพรรคบอลเชวิก พรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
บทบาทสำคัญ:หัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัสเซียเข้าสู่ระบบสังคมนิยมโดยร่วมมือกับ ทร็อตสกี และสตาลินเป็นครั้งแรกในโลก โดยยึดอุดมการณ์ของ
คาร์ล มาร์กซ์ นัดปรัชณาชาวเยอรมัน เชื้อสายยิว มาปฏิบัติเป็นผลสำเร็จครั้งแรก
9.มุสโสลินี
ชื่อจริง:เบนิโต มุสโสลินี
ประวัติย่อ:ผู้นำจอมเผด็จการของอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชีวิตอยู่ ค.ศ. 1883-1945
บทบาทสำคัญ:หัวหน้าพรรคฟาสซิสม์ และนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ผู้นำอิตาลีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดลหวังจะแผ่ขยายอำนาจให้กว้างไกลออกไปแต่ที่สุดก็ต้องปราชัยและยอมจำนนต่อกองทัพพันธมิตร
(ที่มาภาพ : http://www.google.co.th/images)
ชื่อจริง:โจเซฟ สตาลิน
ประวัติย่อ:เกิดในช่วง ค.ศ. 1879-1953 เป็นนักปฏวัติตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยมุ่งหวังจะโค่นล้มการปกครองของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย
บทบาทสำคัญ:ร่วมมือกับเลนิน ผู้นำคอมมิวนิสต์ ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศรัสเซียให้เนสังคมนิยม ในปี ค.ศ. 1917 และภายหลังการมรณกรรมของเลนิน ทำให้สตาลินก้าวขึ้นสู่อำนาจเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในตำแหน่งเลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
8.เลนิน
ชื่อจริง:นิโคไล เลนิน
ประวัติย่อ:มีชีวิตในช่วง ค.ศ. 1870-1924 เป็นหัวหน้าพรรคบอลเชวิก พรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
บทบาทสำคัญ:หัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัสเซียเข้าสู่ระบบสังคมนิยมโดยร่วมมือกับ ทร็อตสกี และสตาลินเป็นครั้งแรกในโลก โดยยึดอุดมการณ์ของ
คาร์ล มาร์กซ์ นัดปรัชณาชาวเยอรมัน เชื้อสายยิว มาปฏิบัติเป็นผลสำเร็จครั้งแรก
9.มุสโสลินี
ชื่อจริง:เบนิโต มุสโสลินี
ประวัติย่อ:ผู้นำจอมเผด็จการของอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชีวิตอยู่ ค.ศ. 1883-1945
บทบาทสำคัญ:หัวหน้าพรรคฟาสซิสม์ และนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ผู้นำอิตาลีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดลหวังจะแผ่ขยายอำนาจให้กว้างไกลออกไปแต่ที่สุดก็ต้องปราชัยและยอมจำนนต่อกองทัพพันธมิตร
(ที่มาภาพ : http://www.google.co.th/images)
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสัยโบราณ
1.เทวรูปเทพเจ้าซีอุส(Zeus of Olimpia)
เทพเจ้าซีอุสในท่านั่งบัลลังก์ พระหัตถ์ซ้ายทรงคฑา พระหัตถ์ขวาถือรูปปั้นแห่งชัยชนะ ประดิษฐานที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ สร้างขึ้นระหว่าง ค.ส. 53-111 เครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน นายชังผู้แกะสลักและก่อสร้างคือ ฟีดีอัส ชาวกรีกโบราณไห้ความนับถือมากที่สุด แต่พังทลายลงเพราะแผ่นดินไหว
2.มหาวิหารไดอานาแห่งเอฟิซูส(Dianz of Ephesus)
ตั้งอยู่ที่ เมื่องเอฟิซูส ประเทศกรีซ สร้างโดยกษัตริย์ ครอยซูส แห่งลิเดีย เมื่อประมาณ 500ปี ก่อนค.ศ.
มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้นโดยเชื่อว่าเป็นการสร้างถวายเทพธิดาอาร์เทมิส เนื่องจากทรงเสด็จลงมาช่วยชาวเมืองให้พ้นภัยครั้วแล้วครั้งเล่า
3.สวนลอยบาบิโลน(The Hanging Garden of Babylon)
สร้างขึ้นโดย พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน เมื่อ 600ปี ก่อนค.ศ. สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเหนือแผ่นดินบนพื้นที่กึ่ทะเลทราย ก่อเป็นชั้นๆสูงถึง 100 ฟุต(ประมาณ 30.5 เมตร) มีสิ่งอำนนวยความสะดวกมากมาย มีระบบชลประทานที่ดีเยี่ยมทำให้สวนเขียวชอุ่มตลอดปี
4.หอประภาคารฟาโรแห่งอเล็กซานเดรีย(Pharos of Alexandria)
สร้างโดยพระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัสกษัตริย์ชาวกรีก เมื่ประมาณ 256ปีก่อน ค.ศ. สูงประมาณ 400 ฟุต(ประมาณ 122 เมตร)ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส หน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ทำให้เมืองอเล็กซานเดรียเป็นเมือลท่าที่มีความสำคัณมาก แต่พังทลายลงเมื่อเกิดแผ่นดินไหว คริสต์ศตวรรษที่ 13
5.เทวรูปโคโรสซูสแห่งโรดส์(Colossus of Rhodes)
หรือเทพเจ้าอพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะของชาวกรีก หล่อ้วยทองสำริดมือขวาถือคบไฟ สวมมงกุฎทองคำ โดยยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวบริเวณเกาะโรดส์พังทลายเพราะเกิดแผ่นดินไหว
6.สุสานเมาโซเลียมแห่งฮาคาร์นาสซัส(Mausoleum at Halicarnassus)
สร้างเมื่อ ประมาณ ค.ศ. 156-190 โดยพระนางอาเตมีเซีย พระมเหสีของพระเจ้าเมาโซลุสเพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระเจ้าเมาโซลุส ผู้เป็นพระสวามี ตั้งอยู่ เมืองชาเวีย ประเทศ อิหร่านในปัจจุบัน สร้าลด้วยหินอ่อนล้วน แกะสลักรูปพระเจ้ามาโซลุสประทับราชรถเทียมม้า พังลงด้วยแผ่นดินไหวเหลือเพียงซากปรักหักพังบางส่วนอยู่ที่ พิพธภัณฑ์บริติชมิวเซียมของอังกฤษ
7.มหาพีระมิดแห่งอียิปต์(Pyramids of Egypt)
พีระมิดคือสถานที่เก็บพระศพขิงกษัตริย์อัยิปต์โบราณตั้งอยู่ตอนเหนือของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ประกอบด้วยพีระมิด 3 อวค์ใหญ่คือ พีระมิดคีเฟรน พีระมิดเซอนิรุส และพีระมิดคีออปส์เฉพาะพีระมิดคีออปส์ เป็นที่บรรจพระศพของ พระเจ้าคีออปส์ ผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนค.ศ. 3,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่สูงที่สุดในโลก ส่วนพีระมิดคีเฟรนมีตัวสฟิงค์รูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ ใบหน้าเป็นคนหัวเป็นสิงโตตั้งอยูในหมาหอบเฝ้าพีระมิด มีขนาด 66 ฟุต พระเจ้าคีเฟรนเป็นผู้สร้างมีอายุประมาณ 6,000ปี
เทพเจ้าซีอุสในท่านั่งบัลลังก์ พระหัตถ์ซ้ายทรงคฑา พระหัตถ์ขวาถือรูปปั้นแห่งชัยชนะ ประดิษฐานที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ สร้างขึ้นระหว่าง ค.ส. 53-111 เครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน นายชังผู้แกะสลักและก่อสร้างคือ ฟีดีอัส ชาวกรีกโบราณไห้ความนับถือมากที่สุด แต่พังทลายลงเพราะแผ่นดินไหว
2.มหาวิหารไดอานาแห่งเอฟิซูส(Dianz of Ephesus)
ตั้งอยู่ที่ เมื่องเอฟิซูส ประเทศกรีซ สร้างโดยกษัตริย์ ครอยซูส แห่งลิเดีย เมื่อประมาณ 500ปี ก่อนค.ศ.
มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้นโดยเชื่อว่าเป็นการสร้างถวายเทพธิดาอาร์เทมิส เนื่องจากทรงเสด็จลงมาช่วยชาวเมืองให้พ้นภัยครั้วแล้วครั้งเล่า
3.สวนลอยบาบิโลน(The Hanging Garden of Babylon)
สร้างขึ้นโดย พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน เมื่อ 600ปี ก่อนค.ศ. สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเหนือแผ่นดินบนพื้นที่กึ่ทะเลทราย ก่อเป็นชั้นๆสูงถึง 100 ฟุต(ประมาณ 30.5 เมตร) มีสิ่งอำนนวยความสะดวกมากมาย มีระบบชลประทานที่ดีเยี่ยมทำให้สวนเขียวชอุ่มตลอดปี
4.หอประภาคารฟาโรแห่งอเล็กซานเดรีย(Pharos of Alexandria)
สร้างโดยพระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัสกษัตริย์ชาวกรีก เมื่ประมาณ 256ปีก่อน ค.ศ. สูงประมาณ 400 ฟุต(ประมาณ 122 เมตร)ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส หน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ทำให้เมืองอเล็กซานเดรียเป็นเมือลท่าที่มีความสำคัณมาก แต่พังทลายลงเมื่อเกิดแผ่นดินไหว คริสต์ศตวรรษที่ 13
5.เทวรูปโคโรสซูสแห่งโรดส์(Colossus of Rhodes)
หรือเทพเจ้าอพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะของชาวกรีก หล่อ้วยทองสำริดมือขวาถือคบไฟ สวมมงกุฎทองคำ โดยยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวบริเวณเกาะโรดส์พังทลายเพราะเกิดแผ่นดินไหว
6.สุสานเมาโซเลียมแห่งฮาคาร์นาสซัส(Mausoleum at Halicarnassus)
สร้างเมื่อ ประมาณ ค.ศ. 156-190 โดยพระนางอาเตมีเซีย พระมเหสีของพระเจ้าเมาโซลุสเพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระเจ้าเมาโซลุส ผู้เป็นพระสวามี ตั้งอยู่ เมืองชาเวีย ประเทศ อิหร่านในปัจจุบัน สร้าลด้วยหินอ่อนล้วน แกะสลักรูปพระเจ้ามาโซลุสประทับราชรถเทียมม้า พังลงด้วยแผ่นดินไหวเหลือเพียงซากปรักหักพังบางส่วนอยู่ที่ พิพธภัณฑ์บริติชมิวเซียมของอังกฤษ
7.มหาพีระมิดแห่งอียิปต์(Pyramids of Egypt)
พีระมิดคือสถานที่เก็บพระศพขิงกษัตริย์อัยิปต์โบราณตั้งอยู่ตอนเหนือของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ประกอบด้วยพีระมิด 3 อวค์ใหญ่คือ พีระมิดคีเฟรน พีระมิดเซอนิรุส และพีระมิดคีออปส์เฉพาะพีระมิดคีออปส์ เป็นที่บรรจพระศพของ พระเจ้าคีออปส์ ผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนค.ศ. 3,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่สูงที่สุดในโลก ส่วนพีระมิดคีเฟรนมีตัวสฟิงค์รูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ ใบหน้าเป็นคนหัวเป็นสิงโตตั้งอยูในหมาหอบเฝ้าพีระมิด มีขนาด 66 ฟุต พระเจ้าคีเฟรนเป็นผู้สร้างมีอายุประมาณ 6,000ปี
"เบอร์มิวด้า"สามเหลี่ยมพิศวง
http://th.wikipedia.org/
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ( Bermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (Devil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลกหลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าววว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก
การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฎในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์ อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา" บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฎในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 โดยกล่าวอ้างว่าผผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอริซอนส์ (ขอบฟ้าที่มองไม่เห็น)
ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับเป็นคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)