วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดอกไม้

1.ดอกหน้าวัว

ความหมาย-การเริ่มต้นและนำไปสู่ความงอกงามของชีวิตชั่วนินิรันดิ์
2.ดอกกุหลาบสีเหลือง

ความหมาย-การเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ
3.ดอกทานตะวัน

ความหมาย-ความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา
แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา
4.ดอกลีลาวดี

ความหมาย-ดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย
5.ดอกลินลี่

ความหมาย-แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน
และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดีๆ ที่ได้ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ"
6.ดอกแก้ว

ความหมาย-ความสงบ  ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์   ใจดี  มีความเอื้อเฟื้อ  เผื่อแผ่  เป็นผู้มีความเบิกบาน  ซึ่งส่วนหนึ่งของความเชื่อเหล่านี้มาจากคำว่า  "แก้ว"  ที่หมายถึง  ความใสสะอาด  บริสุทธิ์ หรือ สิ่งของมีค่าที่สุด
7.ดอกไอวี่

ความหมาย-ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์และมั่นคงในรัก แต่ถ้าหนุ่มคนไหนต้องการขอสาวแต่งงานลองส่งดอก ไอวี่แทนใจก็ได้ เพราะอีกนัยหนึ่ง หมายถึงการแต่งงาน  
8.ดอกกุหลาบสีดำ

ความหมาย-จะใช้ในความหมายแทน ความรักนิรันดร์


(ที่มา : http://www.showded.com,/
           http://tengnung.212cafe.com/
          http://www.google.co.th/images     )

ขุนพลสำคัญของโลก

1.นโปเลียน
ชื่อจริง:จักรพรรดินโปเลียน  โบนาปาร์ท
ประวัติย่อ:ผู้นำฝรั่งเศส มีความสามารถทางด้านการทหาร เป็นคนเฉลียวฉลาดและทเยอทะยานมีร่างเล็กเตี้ย สูงประมาณ 155 ซ.ม.
ผลงานสำคัญ:หลังจากเกิดปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1789 เขาไนทัพเข้าสู่สงครามในยุโรป ใน
ค.ศ.1804จึงสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศส ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรป
2.มหาตมะ คานธี 
ชื่อจริง :โมฮันกาส์ คานธี
ประวัติย่อ :นักการเมื่องชาวอินเดีย มีชีวิตในช่วง ค.ส. 1869-1948
บทบาทความสำคัญ :ผู้นำทางการเมื่องที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอินเดียจาอังกฤษ โดยสันติ หรือ แบบ อหิงสา
3.อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ชื่อจริง :อดอลฟ์ ฮิตเลอร์
ประวัติย่อ :นายกรัฐมนตรี เยอรมนี มีชีวิตในช่วง ค.ศ. 1889-1945
บทบาทความสำคัญ :ผู้นำเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ( ค.ศ.1939-1945) เป็นหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ หรือนาซี มีเป่าหมายจะขยายอาณาจักรเยอรมนีให้กวางขวาง
4.ฟลอเรนช์ ไนติงเกล
ชื่อจริง :ฟลอเรนช์ ไนติงเกล
ประวัติย่อ :ชาวอังกฤษ ค.ศ. 1820 1910
บทบาทความสำคัญ :ผู้บุกเบิกการพยาบาลสมัคใหม่ ได้อุทิศชีวิตเพื่อดูแลคนเจ็บและทหารในฐานะพยาบาล ในช่วงทีอังกฤษส่งทหารไปรบกับรัสเซีย ในสงครามโครเมีย เมื่อเดื่อนกันยายน ค.ศ.1845 จนได้รับฉายาว่าสตรีผู้ถือดครไฟ
5.คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ชื่อจริง :คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ประวัติย่อ :ชาวอิตาลี ค.ศ.1451-1506
ผลงานสำคัญ:นักเดินเรือ ผู้ค้นพบโลกใหม่ หรือทวีปอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1492
6.เหมา เจ๋อ ตง
ชื่อจริง :เหมาเจ๋อ ตง
ประวัคิย่อ :ผู้นำชาวจีน ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนเข้าสู้ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิส ในช่วง ค.ศ.189-1976
ผลงานสำคัญ :สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ชาวจีน โดยการเผยแพร์อุดมการร์คอมมิวนิสต์ปลุกเร้าให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้กับความยากจน และยึดบมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างลึกซึ้ง
7.สตาลิน

ชื่อจริง:โจเซฟ สตาลิน
ประวัติย่อ:เกิดในช่วง ค.ศ. 1879-1953 เป็นนักปฏวัติตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยมุ่งหวังจะโค่นล้มการปกครองของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย
บทบาทสำคัญ:ร่วมมือกับเลนิน ผู้นำคอมมิวนิสต์ ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศรัสเซียให้เนสังคมนิยม ในปี ค.ศ. 1917 และภายหลังการมรณกรรมของเลนิน ทำให้สตาลินก้าวขึ้นสู่อำนาจเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในตำแหน่งเลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
8.เลนิน

ชื่อจริง:นิโคไล  เลนิน
ประวัติย่อ:มีชีวิตในช่วง ค.ศ. 1870-1924 เป็นหัวหน้าพรรคบอลเชวิก พรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
บทบาทสำคัญ:หัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัสเซียเข้าสู่ระบบสังคมนิยมโดยร่วมมือกับ ทร็อตสกี และสตาลินเป็นครั้งแรกในโลก โดยยึดอุดมการณ์ของ
คาร์ล มาร์กซ์ นัดปรัชณาชาวเยอรมัน เชื้อสายยิว มาปฏิบัติเป็นผลสำเร็จครั้งแรก
9.มุสโสลินี

ชื่อจริง:เบนิโต มุสโสลินี
ประวัติย่อ:ผู้นำจอมเผด็จการของอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชีวิตอยู่ ค.ศ. 1883-1945
บทบาทสำคัญ:หัวหน้าพรรคฟาสซิสม์ และนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ผู้นำอิตาลีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดลหวังจะแผ่ขยายอำนาจให้กว้างไกลออกไปแต่ที่สุดก็ต้องปราชัยและยอมจำนนต่อกองทัพพันธมิตร
(ที่มาภาพ : http://www.google.co.th/images)

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสัยโบราณ

1.เทวรูปเทพเจ้าซีอุส(Zeus of Olimpia)
     
เทพเจ้าซีอุสในท่านั่งบัลลังก์ พระหัตถ์ซ้ายทรงคฑา พระหัตถ์ขวาถือรูปปั้นแห่งชัยชนะ ประดิษฐานที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ สร้างขึ้นระหว่าง ค.ส. 53-111  เครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน นายชังผู้แกะสลักและก่อสร้างคือ ฟีดีอัส ชาวกรีกโบราณไห้ความนับถือมากที่สุด แต่พังทลายลงเพราะแผ่นดินไหว

2.มหาวิหารไดอานาแห่งเอฟิซูส(Dianz of Ephesus)

ตั้งอยู่ที่ เมื่องเอฟิซูส ประเทศกรีซ สร้างโดยกษัตริย์ ครอยซูส แห่งลิเดีย เมื่อประมาณ 500ปี ก่อนค.ศ.
มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้นโดยเชื่อว่าเป็นการสร้างถวายเทพธิดาอาร์เทมิส เนื่องจากทรงเสด็จลงมาช่วยชาวเมืองให้พ้นภัยครั้วแล้วครั้งเล่า
3.สวนลอยบาบิโลน(The Hanging Garden of Babylon)

สร้างขึ้นโดย พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน เมื่อ 600ปี ก่อนค.ศ.  สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเหนือแผ่นดินบนพื้นที่กึ่ทะเลทราย ก่อเป็นชั้นๆสูงถึง 100 ฟุต(ประมาณ 30.5 เมตร) มีสิ่งอำนนวยความสะดวกมากมาย มีระบบชลประทานที่ดีเยี่ยมทำให้สวนเขียวชอุ่มตลอดปี
4.หอประภาคารฟาโรแห่งอเล็กซานเดรีย(Pharos of Alexandria)
ImageShack, share photos, pictures, free image hosting, free video hosting, image hosting, video hosting, photo image hosting site, video hosting site
สร้างโดยพระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัสกษัตริย์ชาวกรีก เมื่ประมาณ 256ปีก่อน ค.ศ. สูงประมาณ 400 ฟุต(ประมาณ 122 เมตร)ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส หน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ทำให้เมืองอเล็กซานเดรียเป็นเมือลท่าที่มีความสำคัณมาก แต่พังทลายลงเมื่อเกิดแผ่นดินไหว คริสต์ศตวรรษที่ 13
5.เทวรูปโคโรสซูสแห่งโรดส์(Colossus of Rhodes)


หรือเทพเจ้าอพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะของชาวกรีก หล่อ้วยทองสำริดมือขวาถือคบไฟ สวมมงกุฎทองคำ โดยยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวบริเวณเกาะโรดส์พังทลายเพราะเกิดแผ่นดินไหว
6.สุสานเมาโซเลียมแห่งฮาคาร์นาสซัส(Mausoleum at Halicarnassus)

สร้างเมื่อ ประมาณ ค.ศ. 156-190 โดยพระนางอาเตมีเซีย พระมเหสีของพระเจ้าเมาโซลุสเพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระเจ้าเมาโซลุส ผู้เป็นพระสวามี ตั้งอยู่ เมืองชาเวีย ประเทศ อิหร่านในปัจจุบัน สร้าลด้วยหินอ่อนล้วน แกะสลักรูปพระเจ้ามาโซลุสประทับราชรถเทียมม้า พังลงด้วยแผ่นดินไหวเหลือเพียงซากปรักหักพังบางส่วนอยู่ที่ พิพธภัณฑ์บริติชมิวเซียมของอังกฤษ
7.มหาพีระมิดแห่งอียิปต์(Pyramids of Egypt)

พีระมิดคือสถานที่เก็บพระศพขิงกษัตริย์อัยิปต์โบราณตั้งอยู่ตอนเหนือของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์  ประกอบด้วยพีระมิด 3 อวค์ใหญ่คือ พีระมิดคีเฟรน พีระมิดเซอนิรุส และพีระมิดคีออปส์เฉพาะพีระมิดคีออปส์ เป็นที่บรรจพระศพของ พระเจ้าคีออปส์ ผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนค.ศ. 3,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่สูงที่สุดในโลก ส่วนพีระมิดคีเฟรนมีตัวสฟิงค์รูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ ใบหน้าเป็นคนหัวเป็นสิงโตตั้งอยูในหมาหอบเฝ้าพีระมิด มีขนาด 66 ฟุต พระเจ้าคีเฟรนเป็นผู้สร้างมีอายุประมาณ 6,000ปี

"เบอร์มิวด้า"สามเหลี่ยมพิศวง


http://th.wikipedia.org/

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ( Bermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (Devil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลกหลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าววว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก

    การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฎในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์ อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา" บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฎในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 โดยกล่าวอ้างว่าผผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอริซอนส์ (ขอบฟ้าที่มองไม่เห็น)
ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับเป็นคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด